Monday, November 15, 2010

เมล็ดกาแฟอาราบิก้า (Arabica)



เมล็ดกาแฟ อาราบิก้า
       กลับมาเจอกันอีกในสภาพอากาศที่เย็นสบายขึ้น เมื่อคราวที่แล้วผมได้พูดถึงเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าไปแล้วนะครับ มาคราวนี้ผมจะมาพูดและกล่าวถึงเมล็ดกาแฟอีกพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ปลูกกันมาก หรือประมาณร้อยละ 70 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำการปลูก และทำการค้าขายกันในท้อง ตลาดทั่วโลกโดยรวมในปัจจุบัน และเมล็ดกาแฟที่ผมจะกล่าวถึงในคราวนี้ก็คือ เมล็ดกาแฟ อาราบีก้า (Arabica)


       กาแฟอาราบิก้ามีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบนพื้นที่สูงของประเทศเอธิโอเปีย (อะบิสซีเนีย เดิม) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 6 – 9 องศาเหนือ แต่อาจพบต้นกาแฟอาราบิก้า ตรงช่วงรอยต่อบนภูเขาระหว่างเอธิโอเปียกับซูดาน และเอธิโอเปียกับเคนยา ในเอธิโอเปียสามารถพบต้นกาแฟอาราบิก้า เจริญงอกงามอยู่ทั่วไป ภายใต้ร่มเงาไม้ใหญ่บนพื้นที่สูง ระหว่าง 1,370 -1,830 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง สภาพอากาศในแถบนั้น ค่อนข้างหนาวเย็น อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี อยู่ระหว่าง 15 – 24 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 1,900 มิลลิเมตร สภาพดินเป็น ดินร่วนสีแดง มีหน้าดินลึก สภาพอากาศโดยทั่วไปในแถบนี้ มี 2 ฤดู คือ ฤดูฝนและฤดูแล้ง ซึ่งมีพร้อมๆ กับฤดูหนาว
       ในยุคเริ่มต้นของกาแฟอาราบิก้า ประวัติและความเป็นมาค่อนข้างสับสน เพราะมีผู้พบเห็นต้นกาแฟอาราบิก้าเจริญงอกงามอยู่ทั่วไป ใต้ต้นอินทผาลัม แถบเชิงเขาประเทศเยเมน แต่จากการศึกษาและสำรวจ โดยคณะผู้เชี่ยวชาญในด้านกาแฟอาราบิก้าของประเทศต่าง ๆ ที่ร่วมมือกัน ภายใต้ความช่วยเหลือขององค์กรระหว่างประเทศ สรุปว่า ในสมัยโบราณ ชาวเขาบางเผ่า ที่อาศัยอยู่บนที่สูงของประเทศเอธิโอเปีย ได้อพยพขึ้นเหนือมายังตะวันออกกลาง ได้นำเมล็ดกาแฟติดตัวมาด้วย และได้ปลูกไว้ตามเชิงเขา ชาวเขาเหล่านี้ ใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้าผสมกับไขสัตว์ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ ใช้เป็นอาหารเวลาเดินทางไกล

          ต่อมาเมื่อชาวเปอร์เซียเรืองอำนาจ ได้ขยายอาณาจักรมาสู่ตะวันออกกลาง ได้ขับไล่ชาวเขาเหล่านี้กลับสู่ป่าเอธิโอเปียดังเดิม ส่วนต้นกาแฟอาราบิก้ายังคงเจริญงอกงาม และขยายพันธุ์ตามธรรมชาติต่อๆกันมาแถบเชิงเขาประเทศเยเมน แต่มีบางกระแสเชื่อว่า ในศตวรรษที่ 15 นักเดินทางชาวอิสลามได้นำต้นกาแฟอาราบิก้าจากเอธิโอเปียมาปลูกไว้ ที่อาราเบีย ชาวดัชท์ได้เดินทางมายังอาราเบียในศตวรรษที่ 16 ได้พบต้นกาแฟอาราบิก้า เจริญอยู่ทั่วไป จึงนำเมล็ดกาแฟไปเพาะและปลูกไว้ ตามแหล่งอื่นๆของโลก ในศตวรรษที่ 17 นักแสวงบุญอิสลาม ชาวอินเดีย ได้นำเมล็ดกาแฟอาราบิก้าจากประเทศเยเมน มาปลูกไว้ตามเชิงเขาของรัฐคาร์นาตากา ในประเทศอินเดีย และชาวฝรั่งเศสได้นำเมล็ดกาแฟอาราบิก้า จากอาราเบียไปปลูกที่เมืองเบอร์บอง เกาะรี-ยูเนียน กาแฟอาราบิก้าจากแหล่งปลูกเหล่านี้ ได้แพร่กระจากไปทั่วโลก ซึ่งใช้เวลามากกว่า 2 ศตวรรษ
       ในประเทศไทย พระสารศาสตร์พลขันธ์ ชาวอิตาลี ที่มารับราชการในประเทศไทย ได้นำเมล็ดกาแฟอาราบิก้า มาปลูกไว้ที่จังหวัดจันทบุรีในปี พ.ศ 2393 มีชื่อเรียกกาแฟสมัยนั้นว่า กาแฟจันทบูรต่อมาในปีพ.ศ. 2500 กรมกสิกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำเมล็ดกาแฟอาราบิก้าหลายสายพันธุ์ จากประเทศบราซิล มาปลูกไว้ตามสถานีต่างๆของกรมกสิกรรมในภาคเหนือ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2518 มูลนิธิโครงการหลวง ภายใต้ความช่วยเหลือของกระทรวงเกษตร สหรัฐอเมริกา นำเมล็ดกาแฟอาราบิก้าลูกผสมที่ผสมขึ้นมาเพื่อความต้านทานโรคราสนิมจากประเทศโปรตุเกส มาปลูกไว้ในพื้นที่ของมูลนิธิโครงการหลวงเพื่อ
ส่งเสริมชาวไทยภูเขา ปลูกทดแทนการปลูกฝิ่นบนภูเขาในภาคเหนือ
       กาแฟ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก มูลค่าการซื้อขายในตลาดโลก เป็นลำดับที่สอง รองจากน้ำมันปิโตเลียม รายได้ของประชากร มากกว่า 50 ประเทศ ขึ้นอยู่กับกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบลาตินอเมริกาและแอฟริกา กาแฟอาราบิก้าส่วนใหญ่ จะปลูกกันมากในประเทศแถบลาตินอเมริกา เช่น บราซิล โคลอมเบีย คอสตาริก้า กัวเตมาลา เม็กซิโก เอลซัลวาดอร์ฯ ในทวีปแอฟริกาประเทศที่ปลูกกาแฟอาราบิก้า ได้แก่ อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย แต่เป็นปริมาณที่ยังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับแหล่งอื่นๆ ของโลก
       เมล็ด กาแฟอาราบิก้า เป็นกาแฟที่มีคุณภาพดี ให้ทั้งรสชาติ (flavour) และกลิ่นหอม (aroma) มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอยู่หลายปัจจัยในเรื่องของรสชาติ และกลิ่นหอมของกาแฟอาราบิก้า เช่น สายพันธุ์ที่ปลูก ชนิดของดิน สภาพแวดล้อม ความสูงจากระดับน้ำทะเลของพื้นที่ซึ่งจะเกี่ยวข้องในเรื่องอุณหภูมิ การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว และ กรรมวิธีปรุงรส เมล็ดกาแฟอาราบิก้า สามารถนำมาผลิต กาแฟคั่วบด (roasted coffee) และ กาแฟสำเร็จรูป (instant coffee) แต่ส่วนใหญ่นิยมนำมาผลิตกาแฟคั่วบด เพราะจะให้กลิ่นหอมและรสชาติที่ดีเวลาดื่ม ในเมล็ดกาแฟอาราบิก้า มีองค์ประกอบทางเคมีของสารประกอบจำพวกแป้ง น้ำตาล รวมทั้งวิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด แต่องค์ประกอบที่สำคัญที่สุด คือ สารคาเฟอีน (caffeine) ในเมล็ดกาแฟอาราบิกา มีปริมาณคาเฟอีนอยู่ระหว่างร้อยละ 1.0 – 1.5 แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่ปลูกด้วย สารคาเฟอีนในกาแฟ เมื่อดื่มเข้าไปจะไปกระตุ้นประสาท ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า
         แต่มีบางกระแสเตือนว่า สารคาเฟอีนมีบทบาทต่อการเต้นของหัวใจ ซึ่งอาจจะมีผลต่อโรคหัวใจ อย่างไรก็ตามกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล ที่แพร่หลายในชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก แต่จะดื่มได้มากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน อาจจะขึ้นอยู่กับความเคยชิน และสภาพของร่างกายของแต่ละบุคคล ครับก็คงจะได้อะไรจากการดื่มดำในสาระความรู้เล็กๆน้อยๆจากเรื่องของเมล็ดกาแฟกันไปบ้างพอสมควรนะสำหรับครั้งนี้ อย่างไรเสียก็ดูแลสุขภาพด้วยนะสวัสดีครับ

No comments:

Post a Comment