Saturday, November 13, 2010

ร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงยาวนานในอดีตของไทย



        ถ้าเราจะพูดถึง เอี๊ยะแซ และ ออน ล๊อก หยุ่นแล้ว คอกาแฟวัยเก๋าน้อยคนนักที่จะส่ายหน้าที่ไม่รู้จัก เพราะประวัติการที่เปิดบริการที่ยาวนานกว่า 80 ปี รับใช้ความสุข ของคนไทยและคนจีนมาแล้วหลายชั่วอายุคน
        คำว่าเอี๊ยะแซ เป็นภาษาจีนไหหลำ ซึ่งกลุ่มคนที่มีความรู้เรื่อง และทักษะการชงกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ ผู้กำเนิดตำนานเอี๊ยะแซคือ นายจิ้งเหลี่ยน แซ่อุ่ย ชาวจีนโพ้นทะเลจากเกาะไหลหลำ ที่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมื่อปี พ.ศ. 2470 ขยับขยายกิจการจากสร้างสัมมาชีพจากหลงจู๊โรงเลื่อยมาเปิดรถขายกาแฟสาขาแรกอยู่ที่บริเวณย่านเยาวราช ด้วยชื่อที่คุ่นเคย “กาแฟโกเหลี่ยน” ด้วยเทคนิคการคั่วที่เป็นแบบฉบับแบบไหหลำแท้ ด้วยสแกน “คั่วสดๆชงใหม่ๆทุกวัน” จนกระทั่งการเข้ามาสืบทอดกิจการของทายาทรุ่นที่ จึ่งได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น ร้านเอี๊ยะแซ พร้อมได้ขยายกิจการจากร้านรถเข็นมาสู่ตึกที่โอ่โถง
         ศัพท์ที่ใช้เรียกเมนูกาแฟโบราณที่คุ้นหูประกอบคำว่า”โอยั๊วะ” ถ้าสั่งเมนูคุณจะได้กาแฟร้อนๆ ที่ไม่ได้ใส่นม แต่ถ้าหากว่าอยากที่จะเพิ่มความหวานกลมกล่อมละก็ ให้สั่ง”โกปี๊” ถ้าเป็นกาแฟเย็นละก็ ก็ต้องสั่ง”โอเลี้ยง” คือเมนูยอดฮิต ที่เป็นส่วนผสมของกาแฟกับน้ำตาลทรายเต็มความเย็นสดขื่นด้วยน้ำแข็ง แต่ถ้าสนใจ”ยกล้อ” ก็เพียงเติมนมลงไปนิดหน่อย ในบรรดาเมนูน่าสนใจ”โอยั๊วะ โกปี้ และโอเลี้ยง เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ส่วยยกล้อกลับเป็นภาจีนไหหลำ เข้าใจว่าน่าเป็นส่วนผสมอันลงตัวของจีนแต้จิ๋ว และไหหลำก็น่าจะมาจากลูกค้าส่วนใหญ่จากร้านเอี๊ยะแซ จะเป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่อาศัยอยู่บริเวณเยาวราช และสำเพ็ง ส่วนเจ้าของร้านจะเป็นชาวไหหลำ
        เมล็ดกาแฟของที่ ร้านเอี๊ยะแซ นั้นจะใช้เฉพาะโรบัสต้าเท่านั้น แม้ว่าอาราบีกาจะมีความหอมมากกว่า แต่ในแง่ของความเข้มข้นโรบัสต้ามีชั้นเชิงที่ดีกว่า ทั้งนี้เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของเอี๊ยะแซจะเป็นกรรมกรที่ทำงานอยู่ที่ท่าเรือ คนลากรถเจ๊ก ซึ่งจะต้องใช้พละกำลังมาก ต้องตื่นตาตลอดวัน โอยั๊วะ โกปี่ โอเลี้ยงยกล้อของเอี๊ยะแซก็มีส่วนส่วนให้การทำงานหนักตลอดทั่งวันของพวกเขากระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่คุ้นตาที่ร้านเอี๊ยะแซ ตอนใกล้ยามรุ่งตี ตีจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่แวะเวียนมาเพิ่มพลังด้วยกาแฟด้วยกาแฟแก้วโปรดเพื่อที่จะได้สู้กับงานหนักตลอดทั้วัน
        แม้ว่าทุกวันนี้จะมีร้านกาแฟสไตล์หรูๆ มีเมนูโมเดิร์นเปิดแข็งกันทุกมุมถนน และร้านค้า หนุ่มสาวยุคใหม่อาจจะเดินผ่านเลยร้านกาแฟโบราณ มุ่งหน้าเข้าหา เอสเพรสโซ่ หรือคาปูชิโน่ แต่ตำนานบทเก่าของร้านเอี๊ยะแซในฐานะผู้บุกเบิก และนำหน้ามาก่อนก็ยังไม่ได้ปิดกิจการลง ทุกวันนี้ร้านกาแฟรุ่นคุณปู่คุณย่าที่มีการปรับกลยุทธ์พัฒนาร้านเพื่อที่จะเอาใจคอกาแฟคนรุ่นใหม่ ด้วยการเปิดสาขาเข้าไปในแหล่งชุมชนที่มีคนทุกเพศทุกวัย เพิ่มเมนูเครื่องดื่ม และเครื่องเคียงให้หลากหลาย เพื่อที่จะยังคงสืบสานกลิ่นไอของกาแฟรูปแบบไทยให้ยังคงอบอวลอยู่ในความทรงจำของคนไทยไปอีกนานเท่านาน

       คงไม่น่าแปลกใจหาจะบอกว่าจุดนัดพบของวัยรุ่นสมัยโก๋หลังวังจะเป็นที่ร้านกาแฟ หากถ้าเราลองหลับตาจินตนาการ
ภาพวันเก่าความคึกคักของร้านกาแฟที่มีคนหนุ่ม คนสาวแต่งกายนำสมัย(โน่น) มาสังสรรค์เฮฮา ล้อมวงดื่มกาแฟ ไมโล และขนมนมเนย แน่นนอนว่าจากในจินตนาการของความทรงจำนั้นจะต้องปรากฏมีร้านกาแฟชื่อว่า ออน ล๊อก หยุ่น ขวัญใจของวัยโจ๋ หนุ่มโก๋หลังวังอยู่ด้วยเป็นแน่นอนกว่า 70 ปีมาแล้วที่ร้านกาแฟที่มีชื่อเกไก๋เปิดบริการเติมความสุขให้แก่คนไทย เอกลักษณ์ของ ออน ล๊อก หยุ่น คือการใช้กาแฟสำเร็จรุปที่วางจำหน่ายตามร้านฝรั่ง ห้างจีน แต่จากวิทยายุทธ์กาชงกาแฟของ นายเอ่งซิว ซีลี่ ผู้ก่อตั้งก้เป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าไม่ด้อยไปกว่ากาแฟสูตรใดๆเลย
        ที่มาของ ออน ล๊อก หยุ่น ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน และสงสัยกันอยู่ จากป้ายร้านที่เป็นภาษาจีนออกเสียงได้ว่า “อัก หลัก ฮื้อ” มีความหมายว่า “สวนสนุก” แล้วเหตุไฉนจึงเพี้ยนออกมาเป็น ออน ล๊อก หยุ่น ได้เล่า คำถามอันนี้ยังไม่มีใครสามารถที่จะตอบได้แม้แต่ทายาทมี่สืบทอดกิจการมา
        สำหรับสภากาแฟออน ล๊อก หยุ่น จะประกอบไปด้วยคนทุกเพสทุกวัยแต่ที่จะมีมากหน่อยก็น่าจะเป้นรุ่นคนที่มีผมสีดอกเลา ที่จะมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์จิบกาแฟ ถกเถียงปัญหาเรื่องการเมือง และเศรษฐกิจ หากจะเป็นวัยรุ่น วัยคุณหนูน้อย ที่นี้ก็มีบริการไมโลร้อน เสิร์ฟพร้อมไข่ดาว ไส้กรอก ขนมปังทาเนยน้ำตาล อิ่มหนำสำราญกันได้ทั่วหน้า
        จริงอยู่ที่ความหลังมีไว้ให้จดจำ ทบทวนระลึกถึง แต่สำหรับออน ล๊อก หยุ่น โต๊ะเก้าอี้ทุกตัว ถ้วยชามทุกใบ กาแฟทุกช้อน น้ำตาลทุกเม็ด ที่ผ่านการรับใช้ความสุขของคอกาแฟไทยนับจากวันนั้นยืนยาวมาจนวันนี้ หากจะเปรียบเทียบเป็นสถาบัน ออน ล๊อก หยุ่น ก็คงจะผลิตลูกศิษย์ลูกหามาแล้วหลายสิบรุ่น ทุกวันนี้อาจจะมีบ้างที่ห่างหายไปด้วยเหตุผลนานาประการ แต่สถาบันแห่งนี้ก็คงอยู่อย่างสง่างาม เพื่อที่จะดำรงไว้ด้วยเจตนารมณ์ที่สืบสานกันมาแต่เก่าก่อนนั่นก็คือ แต่งเติมสีสัน และความสุขจากทุกแก้วกาแฟ สู่ทุกหัวใจของคนไทยให้ยาวนานยั่งยืนตลอดไป ครับก็คงจะบอกเล่าแง่มุมอะไรเพิ่มมากขึ้นบ้างนะ

No comments:

Post a Comment